วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559

เรื่องห่านกับไข่ทองคำ



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…ชาวนาคนหนึ่งได้ไปยังรังห่านของเขา
แล้วพบไข่ฟองหนึ่งเป็นสีเหลืองส่องแสงแวววาวเมื่อเขาหยิบมันขึ้นมา…
ก็รู้สึกว่ามันหนักพอๆ กับตะกั่วเขานำมันกลับบ้าน…และทันใดก็พบว่ามันเป็นไข่ทองคำบริสุทธิ์ทุกเช้าเหตุกาลเดียวกันก็เกิดขึ้นและในไม่ช้าเขาก็กลายเป็นคนมั่งมี…จากการขายไข่ทองคำ
เมื่อเขายิ่งร่ำรวยขึ้น…เขาก็ยิ่งโลภมากขึ้นและคิดหาทางที่จะได้ขายไข่ทั้งหมด…ที่ห่านสามารถให้ได้ในคราวเดียวเขาจึงฆ่ามัน…ผ่าทองมันแล้วเขาก็พบแต่ความว่างเปล่า…!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“ความโลภ…ไม่เคยให้ความมั่งมีแก่ใคร”
ดั่งคำสุภาษิตไทยที่ว่า “โลภมาก ลาภหาย” นั่นเอง

เรื่องไก่กับพลอย



พ่อไก่หนุ่มตัวหนึ่งพร้อมกับฝูงแม่ไก่กำลังคุ้ยเคี่ยอาหารหากินอยู่ที่ลานดิน ใกล้ๆกับทุ่งนาขณะที่มันกำลังคุ้ยดินอยู่นั้นได้พบกับพลอยเม็ดงามส่องประกายเม็ดหนึ่งมันจึงเอ่ยขึ้นว่า“ถ้านายมาพบเจ้าละก็ เขาจะต้องเก็บเจ้าขึ้นไปแน่ทีเดียวเพราะเจ้ามีค่าสำหรับเขา แต่สำหรับข้า เจ้าไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อยอันที่จริง…ข้าวสักเมล็ดนั้น…ยังจะมีค่ามากกว่าเจ้าพวกเพชรพลอยทั้งหมดในโลกเสียด้วยซ้ำ “แล้วพ่อไก่ก็เลิกสนใจหันไปคุ้ยเคี่ยอาหารของตนต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“คนที่รู้ความต้องการของตนจะมีความสุข…คนฉลาดชอบสิ่งที่จำเป็น
…มากกว่าเครื่องประดับอันระยิบระยับที่ไม่มีค่าอันใด…
นอกจาก ก่อให้เกิดความเย่อหยิ่งและความฟุ้งเฟ้อ”

เรื่องเจ้าชายกับแมว



นานมาแล้ว มีเจ้าชายผู้กล้าหาญ และสง่างามพระองค์หนึ่งประทับอยู่ในวังแห่งหนึ่ง
เจ้าชายทรงโปรดปรานแมวที่เลี้ยงไว้ จนไม่ปรารถนาที่จะอภิเษกกับเจ้าหญิงองค์ใด
ส่วนแมวตัวนั้นก็หลงรักเจ้าชายจนไม่เป็นอันกินอันนอนเพราะมันรู้ว่าไม่อาจสมหวังในความรักนี้ได้…
นิทานอีสปสำหรับเด็ก_เจ้าชายกับแมว
เจ้าแมวเฝ้าแต่ร้องคร่ำครวญ จนวันหนึ่งนางฟ้าแห่งความรัก ได้ปรากฏกายขึ้น
“เจ้าแมวที่น่าสงสาร มีอะไรเกิดขึ้นหรือ?” นางฟ้าถาม
“ข้ารักเจ้าชายมากแต่ต้องสิ้นหวัง เพราะข้าเป็นแค่แมวตัวหนึ่งเท่านั้น” มันตอบนางฟ้าสงสารจึงบอกว่า“ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเจ้าหญิงแสนสวยแต่เจ้าจะต้องละทิ้งสัญชาตญาณเดิมของเจ้า…ให้ได้ทั้งหมดนะ”“ข้าจะไม่มีวันแสดงให้ใครรู้ว่า…ข้าเคยเป็นแมวมาก่อน” แมวให้สัญญา“ดี!…เจ้าต้องทำตามสัญญาให้ได้…มิฉะนั้นร่างของเจ้าจะกลับกลายไปเป็นแมวตามเดิม” นางฟ้าย้ำ
นิทานอีสปสั้นๆ_เจ้าชายกับแมว
เมื่อแมวรับคำ…นางฟ้าก็ร่ายเวทมนตร์ทันใดร่างของแมวนั้นก็กลายเป็นเจ้าหญิงที่สวยงาม
เมื่อเจ้าชายได้พบกับเจ้าหญิงที่แปลงร่างมาจากแมวก็ทรงตกหลุมรักและขอแต่งงานด้วยในทันที
นิทานอีสปสอนใจ_เจ้าชายกับแมว
เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าหญิงไม่อาจละทิ้งสัญชาตญาณเดิมของเธอได้
ครั้งแรกเจ้าชายทรงแปลกใจ เมื่อเห็นเจ้าหญิงใช้เล็บข่วนที่ประทับจนขาดวิ่น
ต่อมาเจ้าชายทรงเห็นเธอปีนป่ายเล่นบนกำแพงวัง
นิทานอีสปเรื่องเจ้าชายกับแมว
จนในวันหนึ่ง เจ้าชายก็ทรงตกพระทัยมาก…เมื่อเห็นเธอคาบหนูไว้ในปาก แล้วกินมันเข้าไป
และยังไม่ทันที่เจ้าชายจะตรัสอะไรร่างของเจ้าหญิงก็พลันกลับกลายไปเป็น…แมว…ตามเดิม
เพราะมันไม่อาจละทิ้งความเป็นแมว…ตามที่เคยให้สัญญาไว้กับนางฟ้าไม่ได้
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“พื้นเพนิสัย…และการกระทำเบื้องหลังที่แท้จริง…
ไม่ใช่สิ่งที่จะปกปิดกันได้ง่าย ๆ”

เรื่องสิงโตกันหมูป่า


นิทานเรื่อง สิงโตกับหมูป่าอากาศที่ร้อนจัดของวันหนึ่งในฤดูร้อนทำให้สัตว์ทั้งหลายรู้สึกกระหายน้ำไปตามๆกันสิงโตตัวนี้ก็เช่นกัน มันกำลังเดินออกไปหาน้ำดื่มสิงโตเดินตรงไปยังบ่อน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก
นิทานอีสปสำหรับเด็ก_สิงโตกับหมูป่า
เวลานั้นมีหมูป่าที่กำลังหิวน้ำตัวหนึ่งเดินตรงมาที่บ่อน้ำแห่งนี้ด้วยเช่นกันสิงโตและหมูป่าจึงประจันหน้ากันที่ข้างบ่อน้ำนั้นทั้งคู่ต่างต้องการที่จะเป็นผู้ที่ได้ดื่มน้ำก่อน จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น
สัตว์ตัวอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพากันวิ่งหนีอย่างอลหม่าน
นิทานอีสปสอนใจ_สิงโตกับหมูป่า
สิงโตและหมูป่า ต่างก็ต่อสู้กันอย่างไม่ลดละจนหมดเรี่ยวแรงด้วยกันทั้งคู่
นิทานอีสปก่อนนอนสอนใจ_สิงโตกับหมูป่า
ก่อนที่พวกมันจะลงมือต่อสู้กันอีกครั้ง…ทั้งสองก็เหลือบไปเห็นนกแร้งกลุ่มหนึ่งกำลังเกาะอยู่บนกิ่งไม้
และพากันจ้องมองมายังพวกมันอยู่
นิทานอีสปสั้นๆ_สิงโตกับหมูป่า
สิงโตจึงหันมาพูดกับหมูป่าว่า “ข้าว่าเราเลิกต่อสู้กันเถอะ”“เพราะไม่เช่นนั้น เราทั้งสองอาจกลายเป็นอาหารของเจ้าแร้งพวกนั้นได้”หมูป่าเห็นด้วยจึงตอบตกลงในทันที
จากนั้นสิงโตก็บอกให้หมูป่าดื่มน้ำก่อนและเมื่อทั้งคู่ดื่มน้ำจนพอใจแล้ว จึงเดินแยกจากกันไปด้วยดี
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“การประนีประนอม…ช่วยให้ปลอดภัยจากอันตราย”

วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เรื่องนกนางแอ่นเตือนภัย


เรื่องนกนางแอ่เตือนภัยนตัวหนึ่งอาศัยอยู่กับฝูงนกอื่นๆที่หมู่บ้านริมทุ่ง
วันหนึ่งนกนางแอ่นเห็นชาวไร่กำลังหว่านเมล็ดป่าน
ก็รีบบินกลับมาเตือนเพื่อนนกทั้งหลาย
เพราะเมล็ดป่านเหล่านี้ จะเติบโตเป็นต้นป่าน
ให้ชาวไร่นำมาถักเป็นตาข่ายและบ่วงดักนก
“พวกเจ้ารีบไปจิกกินเมล็ดป่านให้หมดเถอะ ก่อนที่มันจะงอกเป็นต้นอ่อน”
แต่พวกนกกลับไม่สนคำเตือนของนกนางแอ่น
จนกระทั้งเมล็ดป่านงอก นกนางแอ่นก็เตือนขึ้นอีกว่า
“พวกเจ้ารีบจิกกินต้นอ่อน ตอนนี้ก็ยังไม่สายจนเกินไปนะ”
พวกนกทำท่ารำคาญตวาดกลับไปว่า
“นี้เจ้านกนางแอ่น…ถ้ากลัวมากก็ไปหากินที่อื่นเสียสิ”
นิทานอีสป_นกนางแอ่นกับนกกระจาบ
นกนางแอ่นจึงบินจากไป
เมื่อต้นป่านโตเต็มที่ ชาวไร่ก็นำมาทำเป็นตาข่ายดักนก
พวกนกทั้งหลายต่างพลาดท่าบินไปติดตาข่าย
นกตัวหนึ่งสำนึกถึงคำเตือนของนกนางแอ่นจึงรำพันขึ้นว่า
“นี้ถ้าเราเชื่อนางแอ่นตั้งแต่แรก…ก็คงไม่ถูกจับอย่างนี้หรอก”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“อย่าเฝ้ารอให้ภัยมาถึงก่อน…จึงจะคิดแก้ไข”
การไม่สนใจคำเตือนเกี่ยวกับปัญหาหรือสิ่งที่จะเกิดขึ้น
ปล่อยให้ยืดเยื้อเรื้อรัง…สุดท้ายเมื่อสำนึกได้…ย่อมไม่อาจแก้ไขอย่างทันท่วงที…

เรื่องท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห ฉบับย่อ


สำหรับวันนี้ Bkkseek.com ขอนำเสนอนิทานพื้นบ้านภาคอีสาน เรื่องท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห เป็นแบบฉบับย่อ มาเล่าสู่กันฟัง ส่วนฉบับเต็มนั้นจะเป็นนิทานพื้นบ้านภาษาอีสาน ที่เนื้อเรื่องแบ่งเป็นตอนๆ ซึ่งก็จะนำมาเสนอในอกาสต่อไป นิทานพื้นบ้านเรื่องเจ็ดหวดเจ็ดไห นั้นเป็นเรื่องราวของเด็กชายหนุ่มคนหนึ่ง ที่มีนิสัยการกินอาหารมากกว่าคนธรรมดา จนได้รับสมญานามว่า “ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห” ซึ่ง เป็นนิทานที่คนเฒ่าคนแก่ชอบเล่าให้ลูกหลานฟังสืบต่อกันมายาวนาน เป็นนิทานสอนใจไว้ได้ดีที่อ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ หรือจะเป็นนิทานเด็กอ่านเป็นนิทานก่อนนอนก็ได้
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน_นิทานเด็ก_ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห
แต่ว่าลูกอ่อนน้อยผิดแปลกธรรมดา …กินอาหารมากมายหลายล้น …คนเดียวได้กินไปเจ็ดหวด  …ยังอีกน้ำเจ็ดแท้ส่ำกัน
ครอบครัวหนึ่งมีลูกอยู่คนหนึ่งชื่อว่า “ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห” เป็นคนที่กินจุ กินข้าวหมดครั้งละเจ็ดหวด กินปลาร้าหมดครั้งละเจ็ดไห วันหนึ่งพ่อกับแม่ไปป่า ก่อนจะไปได้นึ่งข้าวไว้ลูกชายก็กินจนหมด เมื่อกลับบ้านพ่อแม่เห็นดังนั้นจึงปรึกษากันว่า ทำอย่างไรลูกจึงจะพ้นไปจากอกตน เมื่อตกลงกันได้แล้ว ผู้เป็นพ่อจึงพาลูกไปคล้องช้างในป่า โดยหวังจะให้ช้างเหยียบลูกตาย ลูกกลับคล้องช้างได้จริงๆ ขี่ช้างกลับมาบ้าน ทำให้พ่อโกรธมาก…พ่อจึงพาลูกเข้าป่าไปตัดต้นไม้ใหญ่ โดยพ่อจะเป็นผู้โค่นให้ลูกเอาบ่ารับให้ได้ ลูกก็เอาบ่ารับต้นไม้…ไม้ใหญ่จึงล้มทับลูกชาย ลูกชายจึงร้องให้พ่อช่วย พ่อก็ไม่ช่วยหนีกลับบ้าน …พระอินทร์สงสารเลยลงมาช่วย …ลูกชายก็แบกต้นไม้กลับบ้านได้
นิทานพื้นบ้าน_นิทานเด็ก_นิทานสอนใจ_ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห
เมื่อไปถึงบ้านลูกจึงถามพ่อว่าจะให้ลูกวางไม้ไว้ตรงไหน พ่อบอกว่าให้วางไว้ที่ท่าน้ำลูกก็เอาไปวางไว้ …ขอนไม้นั้นขวางทางเรือสำเภาที่มาค้าขาย …พ่อค้าจึงประกาศให้คนไปช่วยยก โดยจะให้เสื้อผ้าที่บรรทุกสำเภามาเป็นรางวัล …ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไหไปยกขอนไม้นั้นได้จึงได้รับรางวัลจากพ่อค้ามากมาย …จึงหอบเสื้อผ้าที่พ่อค้าให้กลับบ้านไป…อาศัยอยู่กับพ่อแม่มีความสุขดังเดิม
นิทานพื้นบ้านภาคอีสาน_นิทานสอนใจ_ท้าวเจ็ดหวดเจ็ดไห
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
  1. “ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ใดก็ตาม …แล้วทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อส่วนรวม …คุณก็จะอยู่ในที่นั้นๆได้อย่างมีความสุข”
  2. พึงชนะความโกรธ ด้วยความไม่โกรธ“…”พึ่งชนะความไม่ดี ด้วยความดี” ^^
  3. ความกตัญญูกตเวที” …นำมาสู่ซึ่งความสุข ความดีงามและความเจริญรุ่งเรือง

เรื่องกบกินเดือน


 นิทานล้านนาเรื่องกบกินเดือน
ในสมัยก่อนพระเจ้าเหา…มีครอบครัวหนึ่งได้ตั้งบ้านเรือนอยู่นอกเมือง ครอบครัวนี้มีอยู่ด้วยกัน 4 คน คือ พ่อ แม่ ลูกสาวสองคน ในสมัยนั้นถ้าครอบครัวหไหนมีลูกสาวก็จะกได้รับการอบรมเรื่องภายในบ้านเกี่ยว กับการเป็นแม่บ้านที่ดี เช่น การจัดการบ้านการเรือน ความประพฤติ กิริยามารยาท ตลอดจนการทำอาหาร และในครอบครัวนี้ก็ได้อบรมในเรื่อง ต่าง ๆ ตามธรรมเนียมประเพณีต่อมาไม่นานทั้งสองคนก็สามารถที่จะทำได้อย่างชำนาญ
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องกบกินเดือน
วันหนึ่งพ่อแม่บอกให้ลูกสาวทั้งสองคนไปทำอาหารเพื่อจะได้ทดสอบดูฝีมือ ทั้งสองคนก็เข้าไปในครัวแล้วช่วยกันทำอาหารจนเสร็จ แต่ในตอนท้ายทั้ง 2 คน ก็ทดลองชิมดูรสอาหารที่ได้ทำมาแต่ด้วยรสอาหารไม่ถูกปากซึ่งกันและกัน ทั้งสองจึงโต้เถียงกันจนอดกลั้นไม่ไหว คนพี่จึงเอาทัพพี (ป้าก) ฟาดหน้าน้องสาว ส่วนน้องสาวก็เอาสาก (ไม้ตีพริก) ฟาดหน้าพี่สาวตัวเอง ต่อสู้กันจนตายคาที่
เมื่อทั้งสองตายไปแล้ว…ยมบาลได้นำเอาวิญญาณของทั้งสองไปพิพากษาและตัดสินว่า ‘’ ทั้งสองนี้ทำการอันน่าบัดสีมาก สมควรจะได้ตกนรกทั้ง 7 ชั้น ‘’ …เมื่อตกนรกไปแล้วก็ให้คนพี่ไปเกิดเป็นเดือน…ส่วนคนน้องไปเกิดเป็นกบ …เมื่อทั้งสองไปเกิดเป็นเดือนและกบก็ยังอาฆาตกันอยู่อีก เมื่อตอนกลางคืนได้มีโอกาสพบกันเข้าอีก ความอาฆาตแค้นก็เกิดขึ้น คนน้องจึงได้อ้าปากคาบเดือนคนพี่ไว้ดังที่เราได้เห็นอยู่นั้น
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ทำให้เราทราบถึงในสมัยก่อนๆ มีขนบธรรมเนียมเป็นอย่างไร มีอะไรบ้าง …แต่ก็เป็นกรณีตัวอย่างที่ไม่ดี…ที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เราไม่ควรเอาเป็นแบบอย่างเพราะความอาฆาตแค้น และมีความเชื่อว่าตายแล้วขึ้นสวรรค์ได้-ตกนรกได้… ซึ่งเป็นการสอนเพื่อให้คนทำความดี…ไม่กล้าทำความชั่ว

เรื่องเขาทะนาน


เรื่องเขาทะนาน ตั้งอยู่ชายฝั่งอันดามัน ที่บ้านมะหงัง ตำบลทุ่งบุหลัง อำเภอทุ่งหว้า เนินเขาสูงชั้น มีธรรมชาติสวยงดงาม มีสำนักสงฆ์และสุเหร่า สำหรับปฏิบัติธรรมของชาวไทย และชาวไทยมุสลิมภูเขาแห่งนี้ มีตำนานเล่ากันมาว่า…
มีตากับยาย 2 คน นับถือศาสนาพุทธ ตั้งบ้านเรือนอยู่บ้านพระม่วง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง มีลูกชายหนึ่งคนเป็นบุคคลที่ลักษณะดี…อยู่มาวันหนึ่งมีเรือสำเภาของพ่อค่าต่างชาติ ได้นำสินค้ามาขายท่าเรือกันตัง…ทั้งสามคนไปชมสินค้า …ขณะชมอยู่นั้น นายสำเภาได้เห็นลูกชายตายายน่ารักและสงสาร…ขอเป็นบุตรบุญธรรม…สองตายายจึงยกให้เพราะเห็นว่าลูกชายจะได้อยู่สุขสบาย
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เขาทะนาน
นายสำเภาขายสินค้าหมด…จึงออกเรือพร้อมบุตรบุญธรรม จำหน่ายสินค้าไปยังที่ต่างๆ จนร่ำรวยเป็นเศรษฐี…เด็กชายที่นำมาเลี้ยงมีความสุขในกองเงินกองทอ…จนลืมคิดถึงสองตายาย ไม่ได้กลับบ้านมานาน เล่าเรียนหนังสือจนได้ดี…ครั้นโตขึ้นก็แต่งงานกับลูกสาวนายสำเภา อยู่กินอย่างมีความสุข…ฝ่ายภรรยาคิดถึงพ่อสามีรบเร้าให้ไปหา…สามีพยายามบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง แต่ทนรบเร้าของภรรยาไม่ไหว จึงส่งข่าวให้สองตายายทราบล่วงหน้า…ฝ่ายสองตายายทราบข่าวดีใจมาก บอกเพื่อนบ้านญาติมิตรให้ทราบจัดที่รับรอง พอใกล้ถึงเวลากลับ สองตายายฆ่าหมู 1 ตัวเพื่อเลี้ยงรับรอง
ครั้นถึงเวลาที่ลูกชายกลับ…สองสามีภรรยานำเรือมาจอดท่าเรือกันตัง ส่งลูกเรือไปสืบดูว่าสองตายายมาหรือไม่ จึงชวนภรรยาขึ้นไปหา…ลูกชายเห็นสองตายายยากจน…ไม่ยอมรับว่าเป็นบิดามารดา…จึงหันหลังกลับ…ฝ่ายยายพยายามดึงแขนลูกไว้…ลูกชายดิ้นรนหนีไม่ได้…แม่เกิดความเสียใจมากถึงกับสาปแช่งว่า “หากเป็นลูกชายของตนแล้ว ขออย่าให้ออกจากฝั่งไปได้ ขอให้มีอันเป็นไปต่าง ๆนานา” แต่แม่ก็ไม่ลืมหมูย่างนำไปวางไว้ที่เรือสำเภา
นิทานพื้นบ้านภาคใต้ เรื่องเขาทะนาน
ขณะที่ชุมชนวุ่นวายอยู่นั้น…เกิดพายุใหญ่พัดมา ทำให้เรือสำเภาแตก สิ่งของกระจัดกระจายลอยไปในทะเล…ในที่สุดมีผู้เฒ่าเล่าว่าเรือสำเภากลายเป็น “เกาะเภตรา” สายสมอเป็น “หินสายสมอ”…ตะบัน (ผ้าโพกหัวมุสลิม) เป็น “ภูเขาบัน”…หมูย่างเป็น “เกาะสุกร” เครื่องตวงสินค้าในเรือเป็น “ภูเขาป้อย ภูเขาแล่ง ภูเขาทะนาน”…เมื่อ 70 ปีที่ผ่านมามีภิกษุรูปหนึ่งมาจากพัทลุง… มาปักกลดและสร้างสำนักสงฆ์ขึ้นและสร้างรูปปั้นไว้รูปหนึ่ง
นิทานรื่องนี้สอนให้รู้ว่า 
เป็นคติเตือนใจแก่ชนรุ่นหลัง ในเรื่อง”ความกตัญญูกตัญเวที”…”การได้ดิบได้ดีแล้วลืมบ้านเกิดเมืองนอน“…”การเป็นลูกเนรคุณไม่รู้จักค่าน้ำนม“…การที่พ่อแม่สาปแช่งนั้นย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์…”คำสาปแช่งเป็นสิ่งที่ไม่ดี“… เพราะท้ายที่สุดคำสาปแช่งก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลย…เพียงแค่ตอบสนองความโกรธอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้นและยังเป็นการต่อเวรกรรมซึ่งกันและกันอีกด้วย  “ดังนั้นเราจึงควรพูดจาดีต่อกัน บอกสอนแนะนำกันในทางที่ดีด้วยความเมตตาและปล่อยวาง…ย่อมทำให้บังเกิดสิ่งที่ดีๆ เป็นมงคลตามมาซึ่งกันและกัน” 

เรื่องหัวล้านนอกครู


เรื่องหัวล้านนอกครู ทิดทอง และ ทิดถม เป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองได้บวชเรียน ร่ำเรียนตำรับตำรามาด้วยกัน ถึงแม้ว่าฐานะของทั้งสองต่างกัน แต่ทั้งสองก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์กันเลย เมื่อทั้งสึกออกมา ก็ช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานด้วยความขยันขันแข็ง อยู่มาวันหนึ่ง มีพ่อค้าเร่มาขายน้ำมันใส่ผมในหมู่บ้าน ทิดทองกับทิดถมซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร จึงได้ซื้อน้ำมันใส่ผมมาใช้คนละขวด ต่อมาไม่นานผมของทั้งสองก็ร่วงเรื่อยๆทุกวัน นานวันเข้าทั้งสองก็กลายเป็นคนหัวล้าน
นิทานพื้นบ้านภาคกลาง _หัวล้านนอกครู
ทั้งสองรู้สึกเป็นกังวลกินก็ไม่ได้นอนก็ไม่หลับ และรู้สึกอับอายจนไม่อยากจะออกไปไหนเลย เมื่อชาวบ้านรู้เรื่องข่าวก็ทำทีมาแกล้ง โดยแนะนำกับทั้งสองว่าถ้าเอาไอ้โน้น ไอ้นี่มาทา ผมก็จะงอกมาดังเดิม เช่น บอกให้เอา หนวดเต่า เขากระต่าย น้ำลายยุง หรือแม้กระทั่งขี้ไก่ มาทา ทั้งสองก็หลงเชื่อ กลายเป็นที่ขำขันของชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน ทั้งสองอับอายเป็นอันมาก จึงตัดสินใจไปขอความช่วยเหลือจากโยคีที่อยู่กลางป่า ด้วยความสงสารโยคีจึงให้การช่วยเหลือ โดยให้ทั้งสองไปดำน้ำในสระน้ำข้างอาศรม 3 ครั้ง ผมก็จะงอกออกมาทั่วทั้งหัวเหมือนดังเดิม
ทั้งสองไม่รอช้า รีบทำตามคำแนะนำของท่านโยคี เมื่อลงดำครั้งแรกแล้วโผล่หัวขึ้นมาปรากฏว่าผมงอกขึ้นมานิดหน่อย ครั้งที่ 2 ผมงอกมาพอประมาณและครั้งที่ 3 ผมของทั้งสองงอกเต็มหัวเป็นปกติ แต่เนื่องจากทั้งสองมีแผลเป็นกลางหัวตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงขึ้นตรงแผลเป็นไม่ได้…แทนที่จะไปปรึกษากับโยคี…ทิดทองและทิดถมได้ปรึกษากันเองว่าหากดำครั้งที่ 4 ผมจะต้องงอกตรงที่เป็นแผลเป็นแน่นอน…ทั้งสองจึงตัดสินใจดำน้ำลงไปอีกครั้ง…แต่ทว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…เมื่อทั้งสองโผล่หัวขึ้นมากลับกลายเป็นคนหัวล้านเช่นเดิม…คราวนี้แม้แต่โยคีเองก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว…ทั้งสองเสียใจร้องไห้โวยวาย แล้วเดินก้มหน้ากลับหมู่บ้านด้วยความผิดหวัง…เป็นที่มาของสำนวนไทยที่ว่า ” หัวล้านนอกครู ”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อย่าเพิ่มเติมหรือนอกคำสั่ง ผลลัพธ์จะตกแก่ตัวเอง…และอย่าเชื่อคนง่ายจะเสียใจภายหลัง เช่นการซื้อน้ำมันมาใส่ผมบ้าง เอาขี้ไก่มาทาบ้างเป็นคนที่เชื่อแบบไม่มีเหตุผล
2. สำนวนสุภาษิต ”หัวล้านนอกครู” หมายถึง…ผู้ที่ปฏิบัติผิดแผกไปจากคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์หรือแบบแผนที่นิยมกันมา…หรือไม่ปฎิบัติตามคำแนะนำของครูอาจารย์จนทำให้เกิดความเดือดร้อน

เรื่องดนตรีธรรมชาติ


นิทานล้านนาเรื่องดนตรีธรรมชาติ
มีนายพรานผู้หนึ่งมีอาชีพเข้าป่าล่าสัตว์ เมื่องยิงสัตว์ได้ก็แล่เนื้อและย่างนำมาขายในเมืองส่วนเขาและหนังก็ขายให้ แก่ผู้ต้องการ วันหนึ่ง เขาออกจากบ้านพร้อมกับปีนคู่มือเดินลัดตรงเข้าป่ามุ่งตรงไปยังหนองน้ำข้างเขา เพราะบริเวณนี้สัตว์ป่ามักจะลงมากินน้ำและกินดินโป่งเสมอ ๆ
นายพรานคิดแต่ในใจว่า วันนี้ถ้าโชคดีคงจะยิงหมูได้ไม่น้อยกว่า 2 ตัว เพราะฤดูนี้หมูชอบลงมากินดินโป่ง ขณะที่นายพรานกำลังเดินทางไปผ่านป่าทะลุออกสู่แม่น้ำสองฟาก แม่น้ำมีต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้ม เยือกเย็น มีนกนานาชนิดจับคู่ส่งเสียงจอแจ… นายพรานกวาดสายตาดูรอบๆ เพื่อมองหาสัตว์ป่าที่จะลงมากินน้ำ ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นหมูป่าขนาดใหญ่กำลังเดินดุ่ม ๆ เสาะหาอาหารตามชายป่าละเมาะอีกอีกฟากหนึ่ง นายพรานก็ทรุดตัวลงนั่งโดยเร็ว เพื่อเตรียมพร้อมบรรจุลูกกระสุนและเลือกทำเลที่เหมาะคอยดักยิง… หมูป่าตัวนั้นคงเดินเสาะหาอาหารไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันไปพบรางไม้สำหรับใส่อาหารซึ่งชาวไร่ใส่อาหารดักลาสัตว์ป่าไว้ โดยไม่รีรอมันตรงเข้ากินอาหารในรางนั้นทันที เผอิญวันนี้เจ้าของไร่ไม่สบาย จึงไม่ได้ออกมานั่งห้างคอยดักยิงสัตว์ที่ตนวางอาหารล่อไว้
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ดนตรีธรรมชาติ
นายพรานขยับตังคลานเข้าไปเพื่อเลือกทำเลยิงที่เหมาะ จนกระทั่งอยู่ในระยะที่มองเห็นหมูตัวนั้นชัดเจนที่สุด เขาจึงยกปืนขึ้นประทับบ่าเล็งจะยิงให้ตรงหัวใจ ขณะที่เขากำลังเล็งอยู่นั้น ลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ ยอดหญ้ายอดพงแกว่งไกวโอนเอนไปมา แสงแดดสว่างจ้าเข้าตาทำให้ตาเขาพร่าพราวมองเห็นหมูป่าไม่ชัดเจน เขาจึงหยุดไม่กล้ายิงไปเพราะเกรงว่าจะยิงพลาด
ขณะที่เขากำลังเล็งปืนอยู่นั้น หูของเขาได้ยินเสียงของนกหัวขวานกำลังจิกกินหนอนที่กอไผ่ ดัง” ป็ก ป็ก ปง ปงๆ” เป็นระยะๆ ประกอบกับเสียงระหัดน้ำที่หมุนตามแรงน้ำ น้ำในกระบอกไหลออกตกลงมากระทบรางไม้ที่รองรับดัง “ฉ่า ฉ่า ฉับ ฉ่า ฉ่า ฉับๆ” ผสมกับเสียงหมูกินอาหารในรางไม้ดัง “ตุ๊บ ตุ๊บ โมง โมง จ๊วบ จ๊วบๆ” หางของมันซึ่งมีดินเหนียวติดตรงปลายหางเห็นเป็นก้อนกลมแกว่งไปมาไล่ริ้นยง หางแกว่งถูกท้องของมันดัง “ปุ๋ง ปั๋ง ปุ๋ง ปั่ง ๆ” ผสมกับเสียงลมพัดกอไผ่เสียดสีกันดัง “เอี๊อดๆอี๊ดๆ อ๊อดๆ” เสียงแกนระหัดหมุนไปตามแรงน้ำดัง “อืด อิด ๆ” นกต้อยตีวิตบินไปมาร้องดัง “กระแต็แว๊ดๆๆ” เสียงต่างๆ เหล่านี้ดังผสมคลุกเคล้ากันฟังเหมือนเสียงดนตรีสวรรค์
นายพรานระงับใจไว้ไม่ได้จึงลดปืนลงมาพาดกับกิ่งไม้เงี่ยหูฟังเสียงเหล่านั้นอย่างตั้งใจ เสียงเหล่นั้นมันดัง “ป็ก ป็ก ปง ปงๆ ฉ่า ฉ่า ฉับๆ ตุ๊บ ตุ๊บ โมงๆ จ๊วบ จ๊วบๆ ปุ๋ง ปั่งๆ เอื๊อดๆ อื๊ดๆ แอ๊ดๆ อืด อือ อืดๆ กระแต้แว้ดๆ”… ‘’เออ เสียงเหล่านี้ช่างไพเราะแท้ๆ ‘’ นายพรานอดใจไว้ไม่ได้จึงลุกขึ้นรำไปตามจังหวะ
ดังคำพรรณนาไว้ดังนี้…” จ้องๆ มองๆ ยองๆ ย่อยแย่ง ไกวแกว่งอาวุธ ยุติการยิง เอนกายนั่งพิงต้นไม้ นั่งพิงฟังเสียงเสนาะไพเราะกระไร แกลุกขึ้นไอฮะแอ้มๆ แก้มยิ้มเป็นมัน กัดฟันกรอดๆ หมูคงไม่รอดจอดแน่ละมึง พรานทะลึ่งลุกกวางปืนไว้ พลางกางแขนออกฟ้อน หมูป่าตกใจโดดหายเข้าป่า พรานกล้าใจเสียอดได้หมูเอย”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ธรรมชาติก็มีอิทธิพลต่อจิตใจ… สามารถทำให้คนตึงเครียดได้หรือผ่อนคลายอารมณ์ก็ได้ เช่นเสียงดนตรี…ทำให้มีอารมณ์สนุกสนานจนลืมสิ่งที่ตึงเครียดไป

เรื่องใครโง่กว่าใคร


นิทานล้านนาเรื่องใครโง่กว่าใคร อีกนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขำขัน และให้แง่คิดในการใช้ชีวิตอีกด้วย… มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า
หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ”คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆ ปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4 – 5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ใครโง่กว่าใครวันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไข่วคว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่อราดหมด เลยไม่มีอาหารไปสู่บิดา…
… เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า ‘’ โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม อือๆๆ ‘’… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสี่ยใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ‘’ ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริง ๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า ‘’มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้‘’
เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่น ๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ‘’ท่านร้องไห้ทำไม‘’ ชายผู้นั้นบอกว่า ‘’ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้‘’ ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกไปและกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว
… ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ข้างฝ่าย ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า “พวกท่านทำอะไรนั่น”… “เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ‘’ ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ ‘’ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ‘’ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล
… ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ‘’ ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ‘’ พวกนั้นบอกว่า ‘’ พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ‘’ ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า ‘’ สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ ‘’… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ‘’ ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ ‘’… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก
… ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับยังบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
2. คติ ‘’ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ‘’

เรื่อง ปู่ปันแน


นิทานล้านนาเรื่องปู่ปันแน เป็นนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ ที่มีเนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขบขัน พร้อมทั้งให้แง่คิดและคติสอนใจในการใช้ชีวิตไว้อีกด้วย
ในรัชสมัยที่นครพิงค์ยังมีเจ้าผู้ครองนครอยู่ทุกๆ สามปี… เจ้าผู้ครองนครจะต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองไปเป็นบรรณาการทางกรุงเทพฯเป็นประจำ… กาลครั้งนั้นอำนาจในการปกครองดูแลบังคับปัญชาประชาชนพลเมืองเป็นของเจ้าผู้ครองนครแต่ผู้เดียว… จึงเรียกท่านว่าพ่อเจ้าชีวิต… เมื่อใครกระทำผิด เช่นลักพริก ลักมะเขือและผัก หากถูกจับได้จะถูกประหารชีวิตทันทีพ่อเจ้าท่านว่ามันเป็นคนเกียจคร้าน มีนิสัยเป็นผู้ร้ายจริง ๆ เขาปลูกเขาฝังทำไมไม่ปลูกฝังอย่างเขาบ้าง… กรณีลักช้าง ม้า วัว ควาย หากถูกจับได้ท่านให้ปล่อยมันไป เพราะมันอยากใคร่ได้อยากใคร่มี
นิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เรื่องปู่ปันแน
ในคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต จะมีข้าราชบริพาร นางสนมกำนัล และเขนคือตำรวจหลวงเฝ้ารักษาอยู่ นอกจากนั้นยังมีศิลปินผู้มีชื่อในทางเป่าปี่อีกคนหนึ่ง ซึ่งคนทั่วๆไปเรียกกันว่า ‘’ปู่ปันแน”… ในกระบวนเป่าปี่ด้วยกันแล้วทั่วทั้งนครพิงค์หาตัวจับแกไม่ได้ ไม่ว่าเพลงนั้นจะยากและยาวเท่าไร หากปู่ปันได้เป่าแล้ว แกจะเป่าได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง เสียงปี่จะแจ้วเจื้อยติดต่อกันไม่ขาดเสียง เพราะแกสามารถระบายลมได้ เคยมีการแข่งขันเป่าปี่กันหลายครั้ง ปรากฏว่าปู่ปันชนะทุกๆคราว
ด้วยเหตุนี้ พ่อเจ้าชีวิตจึงโปรดเกล้าฯให้ปู่ปันเป็นข้าราชสำนัก เนื่องจากการเป็นศิลปินเอกทำให้ปู่ปันชอบทำอะไรตามใจชอบ พอว่างงานก็ดื่มสุรายิ่งดื่มก็ยิ่งเพลิน เวลาเมาแกจะเอะอะชกต่อยทะเลาะวิวาทกับชาวบ้าน ชาวบ้านเกรงกลัวอำนาจพ่อเจ้าจึงไม่อยากเอาเรื่อง… การที่ปู่ปันปฏิบัติเช่นนี้บ่อยๆ ก็เลยเป็นนิสัย ดังนั้นเวลาปู่ปันเมาครั้งไรมักจะก่อเรื่องก่อราวขึ้นเสมอ… ชาวบ้านบางคนทนไม่ได้ก็นำความกราบทูลกล่าวโทษต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าลงโทษตักเตือนว่ากล่าวหลายครั้งหลายหน ครั้นจะลงโทษรุนแรงลงไปก็สงสาร… การที่พ่อเจ้าปฏิบัติเช่นนี้ยิ่งทำให้ปู่ปันได้ใจและผยองตัว… คิดว่าตนนั้นเป็นบุคคลสำคัญแม้แต่พ่อเจ้าก็ไม่กล้าลงโทษหนัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง… ปู่ปันเมาเหล้าเอะอะอาละวาดบริเวณบ้านหนองคำท้าทายชาวบ้าน… ชาวบ้านพอเห็นปู่ปันเมาต่างพากันหลบเข้าบ้านเสีย ปิดประตูเงียบ… ปู่ปันเห็นชาวบ้านเข้าบ้านรู้สึกไม่พอใจ จึงเดินเปะปะไปจนกระทั่งพบกองอิฐข้างถนน ปู่ปันดีใจตรงเข้าหากองอิฐนั้น… คว้าเอาก้อนอิฐมาขว้างไปยังหลังคาบ้านบริเวณใกล้เคียง… ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านเสียหายมากมาย… เมื่อปู่ปันขว้างจนพอใจก็กลับคุ้มหลวงเหมือนไม่มีเหตุอะไร
ครั้นรุ่งเช้า… ชาวบ้านได้รับความเสียหาย นำเอาความนี้ไปร้องเรียนต่อพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตออกไปตรวจเหตุการณ์ที่เกิดเหตุทันที และเห็นว่าปู่ปันทำครั้งนี้เป็นความผิดอันใหญ่… จึงสั่งให้นำเอาตัวปู่ปันไปจองจำไว้ในคุก… พอดีขณะนั้นทางแม่ฮ่องสอนและเชียงใหม่ช่วยกันจับกะเหรี่ยงผู้หนึ่งชื่อว่า “พะสะกอ” ในข้อหาว่าปล้นทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย พ่อเจ้าชีวิตสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิต… การที่จะนำเอาใครไปประหารชีวิตจะต้องนำเอาผู้นั้นตระเวนรอบๆเมืองครบสามวันก่อน และป่าวประกาศมิให้ใครเอาเยี่ยงอย่าง… ผู้ถูกประหารจะถูกจองจำครบ 5 ประการ คือ เท้าใส่ตรวน เท้าติดขื่อไม้ โซ่ล่ามคอ คาใส่คอทับโซ่ และมือทั้งสองสอดเข้าไปในคาไปตอดไปติดกับขื่อที่ทำด้วยไม้เขนนำพะสะกอแห่ไปรอบเมือง
… จนกระทั่งวันที่สามอันเป็นวันสุดท้าย… ขบวนนำนักโทษประหารผ่านคุ้มหลวงอันเป็นที่ประทับของพ่อเจ้าชีวิต… พ่อเจ้าชีวิตเห็นผู้คนมากมายรู้สึกสงสัย จึงถามข้าราชบริพารว่า ‘’ชาวเมืองเขาดูอะไรกันนั่น‘’ ข้าราชบริพารกราบทูลว่า ”เขานำตัวกะเหรี่ยงชื่อ พะสะกอ ไปประหารชีวิตพะย่ะค่ะ‘’… เจ้าหลวงระลึกถึงปู่ปันแนได้ว่า มันประพฤติผิดโทษร้ายแรงสมควรที่จะลงโทษไม่ให้คนอื่นเอาเป็นเยี่ยงอย่างต่อ ไป พ่อเจ้าจึงบอกให้เขนว่า ‘‘เอ่อ บอกเปิ้นรอกำ ขอฝากปู่ปันแนไปคนเต๊อะ” (เออ บอกให้เขารอประเดี๋ยว ขอฝากตาปันไปคน)
ขบวนประหารได้นำผู้ต้องโทษทั้งสองไปประหารยังตำบลท่าวังตาล… เมื่อประหารเสร็จแล้วก็นำความมากราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ… เรื่องราวของปู่ปันแนศิลปินเป่าปี่ก็อวสานลงด้วยอาญาของพ่อเจ้าชีวิต… แม้ว่าพระองค์จะเสียดายสักเท่าไรก็ตาม… แต่เมื่อผิดกฎหมายแล้วก็ต้องปฏิบัติไปอย่างเที่ยงธรรม
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. อันสันดานคนพาลนั้น… เมื่อรู้ว่ามีคนคอยปกป้องแล้วย่อมได้ใจ และจะพาลหนักขึ้น… การเป็นใหญ่จะต้องปฏิบัติอะไรให้เสมอหน้ากัน… อย่าเลือกปฏิบัติให้เสียความเป็นธรรม
2. ‘’ ได้ดีแล้วอย่าลืมตัว…เหมือนกิ้งก่าได้ทอง ”

วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องแมวกับหนู

นิทานอีสป เรื่องแมวกับหนู

บ้านหลังหนึ่งมีหนูชุกชุมมาก เจ้าของบ้านจึงนำแมวมาเลี้ยงไว้

เจ้าแมวขยันไล่จับหนูกินทุกวันจนลดจำนวนลงไปทีละตัว ๆ
ด้วยความกลัวว่าจะถูกกินเป็นรายต่อไป…
พวกหนูจึงพากันเก็บตัวเงียบไม่ออกมาจากรูที่พวกมันอาศัยอยู่

แมวเฝ้ารอจับหนูอยู่หลายวันแต่ไม่เห็นหนูวิ่งเพ่นพ่านก็แปลกใจ
จึงวางแผนแกล้งนอนนิ่ง ๆ ซ่อนเล็บแหลมคมไว้มิดชิด
ทำทีว่าตายเป็นซากไร้วิญญาณให้พวกหนูตายใจจะได้ออกจากที่ซ่อนแล้วจับกิน

นิทานอีสปสั้นๆ_แมวกับหนู
หนูตัวหนึ่งเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงร้องออกมาว่า
“เฮ้อ…คุณผู้หญิงผู้แสนดี…แม้ว่าท่านจะมีความสามารถพิเศษ…
นอนนิ่งได้นานแสนนาน…พวกเราก็จะไม่มีวันเข้าไปใกล้…ตัวเจ้าเด็ดขาด”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1). “คนฉลาดย่อมไม่ประมาทหลงกลอุบาย”
2). “จงหลีกเลี่ยงสภาวะที่เป็นอันตรายทั้งปวง”

เรื่องเม่นกับงู

นิทานอีสป เรื่องเม่นกับงู

กาลครั้งหนึ่ง มีเม่นอยู่ตัวหนึ่ง กำลังเดินหาที่พักที่อยู่อาศัยมันเดินไปจนพบที่อยู่ของงู จึงของูเข้าไปพักอาศัยอยู่ด้วยฝูงงูก็ยอมให้เม่นเข้าไปอาศัยร่วมอยู่ได้

นิทานอีสปสำหรับเด็กเรื่องเม่นกับงู
แต่ไม่นานหลังจากนั้น พวกงูก็พบว่า…
เม่นสร้างความลำบากให้กับมันเป็นอย่างมาก
เพราะขนเม่นอันแหลมคม…
ต้องทำให้มันได้รับความเจ็บปวดยามเลื้อยคลานไปบนพื้นอยู่เนืองๆ
ในที่สุด พวกงูก็เอ่ยกับเม่นว่า
“พอกันที…ข้าทนไม่ไหวแล้ว ขอให้ท่านออกไปจากรังของเรา
ให้พวกเราได้อยู่กันอย่างมีความสุขเสียที”
“เป็นไปไม่ได้หรอก” เม่นกล่าวแย้ง
“ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ก็มีความสุขดีอยู่แล้ว
ถ้าใครในพวกเจ้าไม่พอใจที่จะอยู่กับข้า ก็ให้ออกไปเสียสิ!”
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
1. การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่ผู้ใด ควรพิจารณาลักษณะนิสัยของผู้นั้นให้ถ่องแท้เสียก่อน
2. ควรหลีกหนีคนที่มีนิสัยพาลหรือคนเห็นแก่ตัว ที่มักไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น